วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ThaiLandLeagueReview



หากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่ ยี่สิบกว่าปีแล้วถ้าหากเราจะพูดถึงฟุตบอลบ้านเราในยุคนั้น สมัยนั้น หลายๆคนก็คงจะนึกถึงแต่ฟุตบอลรายการที่มีการแข่งขันระหว่างทีมชาติไทยกับทีมชาติอื่นๆเช่น ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ ใกล้ตัวมาหน่อยก็เป็นคิงส์คัพอะไรประมาณนี้ แต่ถ้าจะพูดถึงฟุตบอลอาชีพแล้วก็คงเป็นเรื่องยากที่จะมีใครพูดถึงเพราะยุคนั้น สมัยนั้นก็จะมีแต่ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทหารที่ดูจะเป็นหน้าเป็นตาและดูเป็นเหมือนฟุตบอลอาชีพของบ้านเราก็เริ่มกันตั้งแต่ถ้วย ก ข ค ง อีกรายการหนึ่งก็เห็นจะเป็นฟุตบอลควีนส์คัพพอมาอีกยุคก็จะมีฟุตบอลกึ่งอาชีพอย่างรายการเซมิโปรลีกเข้ามาสโมสรฟุตบอลในสมัยนั้นก็จะเป็นทีมองค์กรเสียส่วนใหญ่ที่พอจะมีชื่อเสียงก็ไม่พ้นบรรดาทีมสี่เหล่าทัพอย่าง ทหารอากาศ ทหารบก ราชนาวี ตำรวจ หรือบรรดานายแบงค์ต่างๆ อย่าง ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย หรือทีมฟุตบอลจัดตั้งอย่าง ราชประชา ราชวิถี หากถามแฟนฟุตบอลรไทยรุ่นเก่าๆ แล้วก็คงจะพอมีความรู้กันอยู่บ้างหากว่ายังจดจำความประทับใจที่เกิดขึ้นกับสโมสรอันเป็นที่รักของตัวเอง

ด้วยกระแสความนิยมของฟุตบอลอาชีพบ้านเราในอดีตที่ยังไม่ค่อยจะเปรี้ยงปร้างเหมือนยุคนี้ สมัยนี้ทำให้มีนักเตะหลาย ๆ คนของไทยเราต้องเดินทางไปขุดสมบัติกันที่ต่างประเทศเนื่องจากว่าได้เดินทางสายนี้แล้วตัดสินใจที่จะหากินในเส้นทางอาชีพค้าแข้งก็ต้องแสวงหารายได้มาจุนเจือปากท้องของตัวเองและครอบครัวเพราะรายได้นักเตะบ้านเราในอดีตก็ไม่ต่างจากนักเตะเดินสายในปัจจุบันได้รางวัลทีก็จะมีรายได้ที นอกเสียจากบางรายที่ได้มีโอกาสค้าแข้งกับสโมสรที่จัดตั้งโดยองค์กรหรือส่วราชการที่กล่าวมาในข้างต้นก็จะมีรายได้จากการรับราชการและการเป็นพนักงานก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามนักเตะเหล่านั้นก็ยังเสาะแสวงหาที่จะออกไปค้าแข้งตามประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือ ญี่ปุ่น นักเตะแต่ละคนที่ไปค้าแข้งก็ล้วนแต่เป็นนักเตะระดับแนวหน้าในยุคนั้นสมัยนั้น อย่าง ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่ไปค้าแข้งถึงเกาหลีใต้กับสโมสรลักกี้ โกลด์สตาร์ และยุคกลางๆก็ยังไปค้าแข้งกับสโมสรปาหังในมาเลเซีย ร่วมกับนักเตะฝีเท้าดีอย่าง วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ และ อรรถพล บุษปาคม ที่เก๋ากว่านั้นก็เห็นจะเป็นวิทยา เลาหกุล ที่เคยไปค้าแข้งในประเทศญี่ปุ่นกับสโสมรยันมาร์ ดีเซล และประเทศ เยอรมันกับสโมสร แฮร์ธาเบอร์ลิน และก็กลับมารับหน้าที่ผู้ฝึกสออญี่ปุ่นให้กับสโมสรมัตสิชิตะ หรือสโมสร พานาโซนิค กัมบะ ในปัจจุบัน พร้อมกับได้ดึงเอา นที ทองสุขแก้ว และ รณชัย สยมชัย ดาวรุ่งในสมัยนั้นดินทางไปร่วมค้าแข้งด้วย


แต่หลังจากนั้นมากระแสฟุตบอลที่เริ่มพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ใหญ่ในสมาคมฟุตบอลในประเทศไทยเริ่มเห็นความสำคัญของฟุตบอลอาชีพว่าควรจะถือกำเนิดได้แล้วในประทเศไทยจึงได้มีการประชุมปรึกษาหารือและได้มีความเห็นร่วมกันว่าต้องจัดอย่างแน่นอนและก็ได้มีการนำร่องขึ้นมาในปี พ.ศ.2539 โดยให้ชื่อเสียงเรียงนามในการจัดการแข่งขันครั้งนั้นตามผู้สนับสนุนหลักเป็นยี่ห้อสุราฝรั่งยี่ห้อดังว่า ฟุตบอล จอนห์นนี่ วอร์คเกอร์ ไทยแลนด์ลีก ครั้งที่ 1 โดยมีทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันโดยมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันทั้งหมด 18 ทีม แล้วจะเอาทีมที่ 1-4 มาชิงความเป็นที่หนึ่งอีกครั้งตอนนั้นยังเรียกว่าเป็นฟุตบอลอาชีพเต็มปากไม่ได้จึงใช้คำว่าฟุตบอลกึ่งอาชีพ โดยทีมที่เข้าร่วมแข่งขันในทั้ง 18 ทีมประกอบไปด้วย


1. ธนาคารกสิกรไทย ถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งในรายการนี้เนื่องจากผลงานในอดีตที่ผ่านมาค่อนข้างมากโดยเฉพาะแชมป์เอเชี่ยน คลับ เป็นเครื่องการันตีถึงความสามารถของเหล่าบรรดานักเตะและผู้ฝึกสอนทั้งหลายซึ่งในยุคนั้น มี อ.หรั่ง ชาญวิทย์ ผลชีวิน เป็นกุนซือใหญ่ และมีนักเตะทีมชาติไทยในยุคนั้นร่วมทัพอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ ภานุวัฒน์ ยินผัน นิพนธ์ มาลานนท์ เสนาะ โล่งสว่าง โชคทวี พรหมรัตน์ หรือนักเตะจอมเก๋าอดีตทีมชาติ อย่าง สัจจา ศิริเขต สะสม พบประเสริฐ สิงห์ โตทวี ซึ่งดูจากขุมกำลังแล้วสื่อทุกแขนงต่างก็ต้องยกให้เป็นเต็งหนึ่งในรายการนี้อย่างไม่มีใครคัดค้าน




2.สโมสรทหารอากาศ เป็นทีมที่จัดว่าครบเครื่องอีกทีมหนึ่งแม้จะไม่มีนักเตะในทีมติดทีมชาติในยุคนั้นแต่ผลกงานของนักเตะแต่ละคนในอดีตก็ถือว่าดูไม่จืดเลยทีเดียวประกอบกับ เพชฌฆาตหน้าหยก ปิยะพงษ์ ผิผิวอ่อน ที่ยังไม่ยอมแขวนสตั๊ดทำหน้าที่ทั้งผู้เล่นและผู้ฝึกสอน มีดาวเตะอดีตทีมชาติรุ่นเก๋าตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันศูนย์หน้า อย่าง กัมปนาท อั้งสูงเนิน และ สามกองหลังจอมโหดอย่าง ไพโรจน์ พ่วงจันทร์ สมศักดิ์ คำมณี ชลทิศ กรุดเที่ยง แนวรกุก็มีทั้ง ส่งเสริม มาเพิ่ม และอดีตนักเตะชุดดรีมทีมอย่าง สุนัย ใจดี ซึ่งถือว่าค่อนข้างจะครบเครื่องครบรสเลยทีเดียว


3.ธนาคารกรุงเทพ ถือเป็นอีกทีมที่อยู่คู่กับวงการฟุตบอลไทยมายาวนานและเป็นอีกทีมหนึ่งที่มีนักเตะฝีเท้าดีร่วมทีมมากมายซึ่งยุคนั้นถือเป็นยุคทองของนักเตะจอมเก๋าในทีมอย่าง อมฤต เอกวงศ์ ประพันธ์ ขันโคกกรวด สุเมธ อัครพงษ์ สมเกียรติ ปัสสาจันทร์ ปิยกุล แก้วน้ำค้าง ซึ่งถือว่าเป็นกำลังหลักของแบงค์บัวหลวงในยุคนั้นเลยทีเดียว


4.ยูคอมราชประชา ทีมเก่าทีมแก่อีกทีมหนึ่งที่ถือว่าเป็นเจ้าบุญทุ่มในสมัยนั้นที่คว้าเอาศูนย์หน้าจอมตีลังกาอย่าง ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มาร่วมทัพพร้อมกับเหล่าบรรดานักเตะชุดดรีมทีมอย่าง สมาน ดีสันเที๊ยะ สุชิน พันธ์ประภาส รุ่งเพชร เจริญวงศ์ เหรือนักเตะลูกครึ่งไทย สหรัฐ อย่าง อีริค วรมนต์ ไชยสงคราม ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์รวมดาวรุ่งในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้




5.สินธนา เป็นทีมที่ก่อตั้งขึ้นมาไม่นานในอดีตใช้ชื่อว่า บางเตย – สุวรรณน้อย ตามชื่อของผู้จัดการทีม คุณ มนตรี สุวรรณน้อย แม้จะมาใหม่แต่ไฟแรงไม่น้อยเพราะนักเตะในทีมยุคนั้นถือว่าคุณภาพคับแก้วเพราะมีนักเตะทีมชาติชุดใหญ่ร่วมทัพอยู่อย่าง สุรชัย จิระศิริโชติ และนักเตะเยาวชนทีมชาติอย่าง กิตติศักดิ์ ระวังป่า ยุทธพงษ์ บุญอำพร ภาณุพงษ์ ฉิมผูก ( พลพีร์ รุ่งระวีธนพนต์ ) และอดีตทีมชาติอย่าง อนันต์ พันแสน ประจักษ์ เวียงสงค์ ที่คอยประคับประคองน้องๆในทีมเรียกได้ว่าเป็นทีมที่มีการผสมผสานอย่างลงตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น